วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

จะรักเธอทุกชาติ......ทุกกัปกัลป์

            ความรักเป็นความรู้สึกที่งดงาม ควรค่าแก่ผู้รู้จักรัก และถนอมไว้ในหัวใจตลอดไป แต่ปัจจุบันในยุคที่ผู้คนจำนวนมากให้ค่าความสำคัญต่อวัตถุ เห็น ความชั่ว - ความร้ายในหัวใจเป็นสิ่งธรรมดา ทำให้ผู้เขียนไม่แน่ใจนักว่า ท่วงทำนอง น้ำถ้อย
น้ำเสียง รอยยิ้ม ความรู้สึก และรสสัมผัสของหัวใจที่ทรงคุณค่า สิ่งอันอบอวนหอมละมุนเหล่านี้ ผู้คนยังซาบซึ้งกันอยู่หรือเปล่า
          จากบทความครั้งที่แล้วผู้เขียนได้พูดถึงรักแท้รักเทียม  ซึ่งถือว่าบทความเรื่องนั้นจบตอนในเนื้อหาไปแล้ว แต่หากจะกล่าวว่าบทความเรื่อง "จะรักเธอทุกชาติ ทุกกัปกัลป์" คือบทความเรื่อง "รักแท้รักเทียมภาค 2" ก็สามารถกล่าวเช่นนั้นได้เพราะผู้เขียนได้นำเสนอความรักแท้ - ความรักเทียมลงในรายละเอียดบางประการ
          หากมองด้วยทัศนะทางพระพุทธศาสนา ความรักฉันคนรัก ความรักฉันสามีภรรยาเป็นความรักเทียม เพราะเป็นความรักที่เกิดจากตัณหาราคะ มุ่งหวังจะครอบครองเป้นเจ้าของอีฝ่าย แต่ในทางพระพุทธศาสนามิได้ปฏิเสธความรักลักษณะนี้ ผู้เขียนเห็นว่าเราสามารถที่จะเพิ่มคุณค่าของความรักด้วยความดีงามต่างๆ ของหัวใจ หรือพูดอีกนัยหนึ่งเป็นการปลูกรักแท้ให้เจริญเติบโตในรักเทียมจนกลายเป็นรักแท้ในที่สุด
          ผู้เขียนขอยกบทกวีต่างๆ ที่ได้แต่งไว้ในโอกาสเวลาต่างๆกัน เดิมแต่ละบทป็นอิสระจากกัน แต่ผู้เขียนได้คัดสรรมาเรียงร้อยเสมือนเป็นบทกวีเรื่องเดียวกัน เพื่อแสดงตัวอย่างตำนานของหัวใจอันงดงาม สาเหตุที่ผู้เขียนยกบทกวีมาประกอบในบทความเรื่องนี้เพราะตระหนักว่า การแสดงออกด้านอารมณ์ ความรู้สึกโดยเฉพาะอย่ายิ่งในเรื่องของความรักแล้ว บทกวีเป็นผู้ทำหน้าที่ได้ดีที่สุดดังจะได้นำเสนอโดยลำดับดังนี้(46)
                
                     ทั้งชาตินี้ชาติหน้าขอสัตย์ซื่อ    เราต่างคือคนรักกันมีเพียงสอง
               ต่างรอกันมิให้ใครหมายปอง          ทุกชาติจองเป็นรักแรกรักสุดท้าย
        
          ในบทกวีบทแรกที่ผู้เขียนยกมา ผู้เขียนต้องการจะสื่อให้เห็นว่า ความรักต้องการความซื่อสัตย์ ต้องการความมั่นคงในความรักระหว่างกัน ทุกภพชาติที่เกิดมาขอหมายปองเป็นเจ้าของหัวใจเพียงหนึ่งเดียว ไม่ต้องการใครอื่นนอกจากสองเรา
                  
                     แรกเคยรัก "แก้ว" มั่นว่ามากแล้ว     วันนี้แววแห่งรักยิ่งมากกว่า
               และจะรักยิ่งมากตามวันและเวลา            จักคู่ฟ้าคงดินไม่สิ้นเลยฯ

          ในบทกวีบทที่สอง เป็นการกล่าวให้ทราบว่า เมื่อแรกรักก็ว่ารักมากแล้ว แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปความรักยิ่งมากล้ำ
ตามวันเวลา และในความรู้สึกของเขาซึ่งจะกลายเป็นความจริงในอนาคตอันไกลโพ้น คือความรักของเขาจักอยู่มั่นคงคู่ฟ้าดิน อะไรเป็นสิ่งที่ทำให้ความรักของเขาเพิ่มทวีมากขึ้น ตามวันเวลา เป็นธรรมดาของมนุษย์ย่อมต้องการความรัก ความปรารถนาดี การปฏิบัติที่ดีต่อกัน ไม่เอาเปรียบกัน ไม่ทำร้ายรังแกกัน แต่ดูแลปรนนิบัติรับใช้หัวใจของกันและกัน การปฏิบัติต่อกัน ด้วยความดีเช่นนี้ ทำให้ความรักเพิ่มล้นทวีตามวันเวลา

                    พี่รัก "แก้ว" เพราะ "แก้ว" พี่เป็น "แก้ว"    งามเพริดแพร้วสำหรับพี่แม้หลับฝัน
               พี่มี "แก้ว" เพียงหนึ่งค่าอนันต์                      ทุกกัปกัลป์ขอมี "แก้ว" เพียงหนึ่งดวงฯ
         
          บทกวีบทที่ 3 ช่วยเพิ่มความงาม ความรู้สึกของหัวใจให้เด่นชัดขึ้น ความดีงามของเธอทำให้เขาเห็นคุณค่าว่าเธอเป็นสิ่งที่สูงค่ายิ่ง แม้ในยามที่เขานอนหลับ เขายังฝันถึงความดีงาม กวีใช้คำว่า "แก้ว" แทนนางอันเป็นที่รัก เพื่อแสดงให้เห็นความสูงค่าล้ำจนหัวใจของเขาปักใจไว้มั่นคงต่อนางเพียงผู้เดียว แม้เวลาผ่านไปนานกี่กัปกัลป์ก็ตาม

                    อยากจูบแก้มสักวันละพันหน     ฝังเอาหอมด่ำกมลอวสาน
               เป็นพยานนิรันดร์รักทุกกัปกาล        รักจักจารทุกชาติไม่ขาดกันฯ

          บทกวีบทที่ 4 เป็นอิริยาบทละเอียดอ่อนของหัวใจที่คนรักพึงกระทำต่อคนรัก ดังที่กวีได้จินตนาการถ้อยคำว่า "อยากจูบแก้มสักวันละพันหน" เป็นความจริงที่ว่าคงไม่มีใครจูบแก้มใครได้ทุกวันวันละเป็นพันครั้งจนถึงวันตายในแต่ละชาติทุก
กัปกัลป์ ดังที่กวีรจนาไว้ในวรรคที่ติดตามมา แต่ในความรู้สึกซาบซึ้งต่อคุณความดีของความรักที่มีต่อกัน คนรักกันอาจรู้สึก
เช่นนั้นจริงๆ บางขณะของหัวใจอาจจะ "อยากจูบแก้มสักวันละพันหน" เสียด้วยซ้ำ

                    อาจมิใช่คนดีเป็นที่สุด                    แต่รัก "แก้ว" มากประดุจชีวิตเขา
               ตามช่วยเหลือคุ้มครองเหมือนดั่งเงา      จนรักเราเข้าประตูสู่นิพพานฯ

          ในบทกวีสุดท้าย ผู้เขียนถือว่าเป็นพันธกิจของหัวใจ เป็นอุดมคติแห่งรักที่ทุกคนควรจะก้าวไปให้ถึง  หน้าที่ที่หัวใจพึงผูกพัน คือ การรักคู่ครองใจประหนึ่งชีวิตของตน พร้อมช่วยเหลือคุ้มครองตลอดไปทุกภพทุกชาติจนกว่าจะต่างหมดกิเลสเข้าสู่พระนฤพาน เป็นพระอรหันต์หมดสิ้นภพชาติไปด้วยกัน(47)
          ตัวอย่างของความรักจากบทกวีทั้งห้าบทที่ผู้เขียนยกมา เพื่อให้เห็นเป็นรูปธรรมของสิ่งที่ความรักควรดำเนิน ในอิริยาบทการดำเนินของความรักของแต่ละผู้อาจแตกต่างกันในรายละเอียดแต่สิ่งที่มิอาจขาด คือความรัก ความเข้าใจ การให้อภัยกันได้ในทุกๆเรื่อง การไม่คิดร้าย ไม่ว่าร้าย ไม่ทำร้าย รวมถึงการไม่พูดถ้อยคำให้เจ็บช้ำน้ำใจ แม้ระคายใจก็ไม่ควร ภัยร้ายจากการ เวียนว่ายตายเกิด ทั้งความแก่ ความเจ็บ ความตาย ภัยจากคนที่ชั่วร้ายคิดเบียดเบียน ก่อกรรมทำชั่ว ก่อเวรภัยแก่เพื่อนมนุษย์ยังมีอยู่ดาษดื่นในสังคม ยังมากมีปลอมปนในชนชั้นตำแหน่งสถานภาพประชุมชน ไหนจะภัยพิบัติจากเหตุการณ์ไม่คาดฝัน คนที่รักกันร่วมชีวิตกันจึงไม่อาจปฏิเสธพันธหน้าที่ที่จะคุ้มครองปกป้องคนรักของตน ผู้ที่เชื่อว่าชีวิตมีเพียงชาตินี้ เพียงชาติเดียวจะทำหน้าที่นี้อย่างดีที่สุด แต่ผู้ที่เชื่อในการเวียนว่ายตายเกิดยังไม่รีบเข้าสู่นิพพานยังห่วงหาอาทรคนรัก
ดวงจิต หัวใจของเขาจะตามพิทักษ์รักษา ดูแลปรนนิบัติรับใช้คนที่เขาปักใจจนกว่าจะสิ้นชาติขาดจากวัฏสงสารสู่พระนิพพานไปด้วยกัน
          การได้พบคนรักในชาติต่อไป หากมองด้วยทัศนะทางพระพุทธศาสนาเป็นสิ่งที่สามารถทำได้โดยทั้งคู่จะต้องมีศรัทธาเสมอกัน มีความตั้งใจเสมอกัน แต่มิใช่ว่าจะพบกัน ทุกชาติ เพราะเป็นเรื่องที่ยาก ด้วยเหตุที่ว่าเมื่อต่างแตกตายทำลายขันธ์ในชาตินี้ ดวงจิตของแต่ละคน อาจจะไปสู่ภพภูมิที่ต่างกันตามอำนาจบุญบาปของแต่ละคน เช่น ตายในขณะที่จิตมีความโกรธจะไปเกิดเป็นสัตว์นรก ตายในขณะที่จิตมีความโลภไปเกิดเป็นเปรต ตายในขณะที่จิตมีความหลงจะไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน มีเรื่องเล่าในทางพระพุทธศาสนาเรื่องหนึ่ง พระราชากับพระมเหสีเมืองหนึ่งต่างรักกันมาก มีความปรารถนาที่จะครองรักกันทุกชาติ ต่อมาพระมเหสีสิ้นพระชนม์ไปก่อน พระราชาทำบุญอุทิศบุญกุศลไปให้ทุกวัน ในขณะที่พระมเหสีไปเกิดเป็นกระบือเพศเมีย  ต่อมาพระอินทร์ไปถามกระบือเพศเมียตัวนั้นว่า  ยังระลึกถึงสามีของตนที่เป็นพระราชาอยู่หรือไม่ กระบือเพศเมียกลับตอบว่า ไม่คิดถึงตนคิดถึงแต่กระบือตัวผู้เท่านั้น อย่างไรก็ตามการอธิษฐานว่าขอให้ได้เกิดมาเป็นภรรยาสามีกันของคู่ที่มีศรัทธา ศีล ความตั้งใจ เสมอกันก็จะทำให้ทั้งคู่ได้พบกันในแต่ละชาติได้ง่ายขึ้น แม้จะไม่ทุกชาติก็ตาม
          มีพระเถระบางรูปกล่าวว่า แม้จะต้องการพบกันเป็นคู่ครองทุกชาติไปก็ตาม แต่การตั้งใจ เพื่อเป้าหมายสูงสุด คือการบรรลุพระนิพพานเป็นสิ่งที่สูงส่งกว่า ดังนั้นไม่ต้องปรารถนาว่าจะพบกับใครเป็นการเฉพาะ แต่ให้ปรารถนาว่าให้เกิดเป็นมนุษย์ ดังนั้น ผู้ใดเสมอกับเราด้วยศีล ก็จะได้พบกันครองคู่กัน
          วันเวลาในพระศาสนาของพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าพระองค์ปัจจุบันผ่านมาจนถึงบัดนี้ได้ 2,500ปีเศษแล้ว ในขณะที่หัวใจของผู้คนจำนวนมากหยาบกร้านด้วยอำนาจกิเลส รักแท้ดูเหมือนเป็นความฝัน ดูเหมือนคำพูดที่เป็นอุดมคติบนหอคอยงาช้าง แต่หากคู่รักคู่ใดก้าวดำเนินไปบน มรรคาแห่งรักแท้ เขาทั้งสองจะประจักษ์แจ้งในหัวใจว่าผู้ดำรงรักแท้เป็นผู้มีดอกรักแห่งธรรมเบ่งบานอยู่ในหัวใจทุกขณะแห่งรักที่ดำเนินไปด้วยกันกับคนรักเป็นก้าวย่างของการสั่งสมบุญบารมีเพื่อความหลุดพ้นจากกองกิเลสเข้าสู่พระนฤพานด้วยหัวใจแห่งรักแท้เป็นนิรันดร์

นิพนธิ์ เจิมจำนงค์ พนักงานคุมประพฤติชำนาญการพิเศษ กลุ่มสืบเสาะและพินิจ,วารสารกรมควบคุมประพฤติ(DEPARTMENT OF PROBATION):หน้า46-48

*กัปหรือกัลป์ หมายถึงระยะเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน ที่กำหนดว่าโลกคือสกลจักรวาฬประลัยครั้งหนึ่ง ท่านให้เข้าใจด้วยอุปมาว่า เปรียบเหมือนมีภูเขาศิลาล้วน กว้าง ยาว สูง ด้านละ 1 โยชน์ ทุก 100 ปี มีคนนำผ้าเนื้อละเอียดอย่างดีมาลูบครั้งหนึ่ง จนกว่าภูเขานั้นจะราบลงเสมอพื้นดิน กัปหนึ่งยาวนานกว่านั้น (เรียบเรียงจากพจนานุกรมพุทธศาสน์ฉบับประมวลศัพท์ โดยพระธรรมปิฎก {ป.อ.ปยุตโต})

         

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น